วันนี้ทีม พีอาร์ มีเรื่องมาแบ่งปัน เรื่องจริงไม่อิงนิยาย
ใครไปเที่ยวทางรถไฟ...มาอ่านตรงนี้สักนิด
ประสพการณ์ตรงจากการบอกเล่าของไกด์ภาษาเยอรมัน ประสบการณ์จริง
เป็นอุทาหรณ์ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 57 คุณเพชรดา ศรชัยไพศาล
ไกด์ภาษาเยอรมัน ทำทัวร์เส้นทางรถไฟสายมรณะ ขณะที่
นั่งรถไฟจากสถานีน้ำตกเพื่อมาสถานีถ้ำกระแส นั่งอยู่โบกี้ท้ายสุด
ลูกทัวร์ในโบกี้นี้ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวฮอลแลนด์ ลูกทัวร์ของเธอ
เป็นครอบครัวชาวสวิส พ่อ แม่และลูกทั้ง3 ลูกชายคน คนโตอายุ18 ปี
คนรองอายุ 16ปี ลูกสาวคนเล็ก14ปี รถไฟออกจากสถานีน้ำตก เวลา 15.30น.
ขณะรถออกจากสถานีได้ประมาณ15นาที
เป็นช่วงที่ลูกทัวร์ทุกรุ่นอายุตื่นเต้นสนุกสนานกับการถ่ายรูป
ถัดจากเบาะที่เธอนั่ง มีครอบครัวชาวดัชนั่งอยู่ สามี ภรรยา และ ลูกอีก3คน
สักครู่สามีชาวดัชออกไปยืนอยู่ช่วงต่อโบกี้
รถไฟออกจากสถานีน้ำตก ช่วงนั้นทางลาดลงเขา
ประกอบกับช่วงรถต่อของรางที่ไม่ชิดสนิดกัน จึงเกิดการกระชากฉึกฉักๆ
..สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น.... เขาได้ตกรถไฟ.....
ความเร็วของรถและการกระชากของรถไฟ ร่างของเขาถูกดูดเข้าไปในรางรถไฟ
ช่วงเวลานั้นภรรยา กรีดร้องสุดชีวิต ตา
มด้วยเสียงของผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งโบกี้ร้องเพื่อให้เสียดังไปถึงการได้ยิน
ของคนขับเพื่อให้รถไฟหยุด ...
ได้ผล...รถไฟหยุด...
เพื่อนของผู้เสียชีวิตลงวิ่งกรูไปดู
เสียงกรีดร้องของครอบครัวเพื่อนร่วมคณะดังสนั่นอีกครั้งหนึ่ง
พร้อมกับเสียงร้องไห้ ช๊อคตกใจของคนร่วมโบกี้
หนึ่งในนั้นคือไกด์ท่านนี้ด้วย เธอหันมาที่ลูกทัวร์ของเธอ คุณพ่อมาร์ติน
ซึ่งนั่งติดกับครอบครัวผู้เสียชีวิต
เห็นเหตุการณ์ประกอบกับความอึกทึกของการเต้นของหัวใจของหลายๆคน
คุณพ่อมาร์ตินช๊อค..ตาค้างเห็นแต่ตาขาว..หัวใจหยุดเต้น เสียงลูกๆ "papa.."
เธอกระโดดไปหาเขาทันที พร้อมภรรยาและลูกของเขา เทน้ำราดศรีษะ กระตุกเส้นผม
ตบหน้า "มาร์ตินตื่นๆ"เธอตะโกนเรียกสุดชีวิต พร้อมทั้ง ปลดกระดุม
รูดซิบกางกาง แคทธารีนา ลูกสาวคนเล็กช๊อค ตามด้วยลูกชายอีกสอง
เธอกอดและตบไหล่แม่"mama..เธอห้ามร้องไห้
เธอและฉันเราต้องช่วยกัน"ปล่อยแม่ดูพ่อ
ครอบครัวคนไทยนั่งข้างๆกันตกใจลุกเดิน
เธอขอให้ช่วยด้วยอย่าเดินจากไปช่วยกันกอดลูกทัวร์เธอก่อน
คุณตาคุณยายและครอบครัวนี้มาช่วยด้วยหัวใจโอบกอดลูกนกทั้งสามที่สั่น..
คุณพ่อหยุดหายใจไปหนึ่งนาทีก็ฟื้น..ช่วงที่เราโอบกอดแคทธารีนา
ก็ตะโกนบอกคนไทยให้ช่วยเรียกไกด์มาโบกี้สุดท้าย..มาช่วยกัน
น้องอิสระไกด์ฝรั่งเศส พี่พงษ์ไกด์เยอรมัน และน้องผู้หญิงไกด์อังกฤษ
เราช่วยกันนวดปลอบโยนพร้อมโอบกอด..อาการดีขึ้น..แต่ทั้ง 4 คนอาการไม่ดี
รถมูลนิธิมาถึงพอดี
เธอบอกร้อยเวรที่พึ่งมาถึงขอนายทหาร4นายมาช่วยพยุงลูกทัวร์เพื่อเดินไปขึ้น
รถ นายแรกเดินเพื่อให้เร็ว
เธอมองไปพอดีตะโกนทันที(คุณทหารคนแรกหยุด..เธอช๊อคเพราะร่างนั้น
เลี้ยวขวาใช้บูทย่ำหนามใช้มีดตัดทาง
ให้รถมูลนิธิหาทางเข้ามา)ถึงรถ..รถมูลนิธิ..ขนขึ้นทั้งหมด 5+1+2
เสียงหวอดขอทาง...เป็นเสียงเร้าและกระตุ้นการจากของชีวิตมาก 15
นาทีถึงโรงพยาบาลโทรโยค
เข้าห้องฉุกเฉิน..ทุกอย่างทุกคนปกติ..อาเล็กซานเดอร์ลูกชายคนกลางตกใจคลั่ง
เล็กน้อยใช้กำปั้นชกเสา สักพักมือบวมตรวจทำแผลจัดยา
คุณหมอกลับจากการชันสูตรศพ ..มาพร้อมกับการสรุป ศพ..ขาด3จุด คือ
คอ/ท้อง/ขา..พยาบาลถามและอุทานออกมาว่า
"จะสิบศพแล้วนะและศพเมื่อวานคือศพที่10ในรอบปีนี้".(ตรงนี้เป็นบทสนทนาของ
พยาบาลนะคะ ผู้เล่า ไม่ได้เห็นข้อเท็จจริงในเรื่องของจำนวนเอง)
90นาทีอยู่โรงพยาบาล.เข้าโรงแรม20.00น.
โชคดีของลูกทัวร์ที่ไกด์มีสติดีมาก..ขอบคุณคุณเพชรดาที่แบ่งปันเรื่องราว..เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาแบ่งปันกันอ่าน
วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ประเด็นประชาสัมพันธ์นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
งาช้างที่อนุญาตให้ทำการค้าเป็นงาของช้างบ้านที่ถูกต้องตามกฎหมายและเพื่อ
การใช้สอยภายในประเทศเท่านั้น
การค้าต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ประเทศไทยไม่อนุญาตให้นำเข้าและส่งออกงาช้างทุกชนิดในทุกกรณี รวมถึงการใช้สอยส่วนตัว หรือเป็นของที่ระลึก ดังนั้น อย่าซื้องาช้างและผลิตภัณฑ์จากงาช้าง การนำงาช้างออกนอกประเทศไทยเป็นการกระทำผิดกฎหมายมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงินไม่เกิน 4 เท่าของราคาสินค้ารวมอากร หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจถูกจับกุมดำเนินคดีในประเทศปลายทางอีกด้วย
ประเทศไทยไม่อนุญาตให้นำเข้าและส่งออกงาช้างทุกชนิดในทุกกรณี รวมถึงการใช้สอยส่วนตัว หรือเป็นของที่ระลึก ดังนั้น อย่าซื้องาช้างและผลิตภัณฑ์จากงาช้าง การนำงาช้างออกนอกประเทศไทยเป็นการกระทำผิดกฎหมายมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงินไม่เกิน 4 เท่าของราคาสินค้ารวมอากร หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจถูกจับกุมดำเนินคดีในประเทศปลายทางอีกด้วย
สอบถาม/แจ้งการค้างาช้างผิดกฎหมาย ติดต่อ
สายด่วน. 1362
Email: citesthailand@yahoo.com
Facebook: Control of Internal Trade in Ivory
Don’t buy ivory
Foreign travellers visiting Thailand should remain aware and not take any risks by buying any ivory products even if it is something as small as an earring or a bracelet or claimed to have been legally registered.
Measures are being taken in all of Thailand’s destinations to tackle illegal ivory trade in the domestic and international wildlife market. The move is in line with the Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora (CITES) to eradicate the international ivory trade.
Thai Ivories and Elephant Legislations
1: Ivory from domesticated elephants can be legally traded, but allowed only for domestic consumption under trade control.
2: Thailand prohibits import and export of ivory even if it is for personal consumption or as souvenir, and tourists are strongly advised not to buy ivory or ivory products. Taking ivory or ivory products outside Thailand is illegal. Offenders could get a jail term of up to 10 years or a fine of up to four times the value of the item or both penalties, and could face arrest at their country of origin.
Thailand submitted the revised ‘National Ivory Action Plan’ last month in accordance with the agreement made at the 65th Meeting of the CITES Standing Committee in July this year. Under the agreement, Thailand must adjust and enforce laws that would more effectively regulate the domestic ivory trade, possession and issuance of trade licenses as well as clamp down on the illegal ivory market.
For more information or to report on illegal ivory trade, contact:
Hotline 1362
Email: citesthailand@yahoo.com
Facebook: Control of Internal Trade in Ivory
สายด่วน. 1362
Email: citesthailand@yahoo.com
Facebook: Control of Internal Trade in Ivory
Don’t buy ivory
Foreign travellers visiting Thailand should remain aware and not take any risks by buying any ivory products even if it is something as small as an earring or a bracelet or claimed to have been legally registered.
Measures are being taken in all of Thailand’s destinations to tackle illegal ivory trade in the domestic and international wildlife market. The move is in line with the Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora (CITES) to eradicate the international ivory trade.
Thai Ivories and Elephant Legislations
1: Ivory from domesticated elephants can be legally traded, but allowed only for domestic consumption under trade control.
2: Thailand prohibits import and export of ivory even if it is for personal consumption or as souvenir, and tourists are strongly advised not to buy ivory or ivory products. Taking ivory or ivory products outside Thailand is illegal. Offenders could get a jail term of up to 10 years or a fine of up to four times the value of the item or both penalties, and could face arrest at their country of origin.
Thailand submitted the revised ‘National Ivory Action Plan’ last month in accordance with the agreement made at the 65th Meeting of the CITES Standing Committee in July this year. Under the agreement, Thailand must adjust and enforce laws that would more effectively regulate the domestic ivory trade, possession and issuance of trade licenses as well as clamp down on the illegal ivory market.
For more information or to report on illegal ivory trade, contact:
Hotline 1362
Email: citesthailand@yahoo.com
Facebook: Control of Internal Trade in Ivory
วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557
รักษ์คลองสาน
ภาพ
วาดลายเส้นจำลองที่ตั้ง
และลักษณะของโบราณสถานสำคัญที่เคยตั้งอยู่บริเวณปากคลองสานในอดีต
อันประกอบไปด้วยป้อมป้องปัจจามิตรซึ่งเป็นป้อมปืนรูปดาวห้าแฉกขนาดใหญ่ที่ล้นเกล้า
รัชกาลที่4ทรงพระกรุณาให้สร้างขึ้นเพื่อป้องกันเรือข้าศึกทางด้านแม่น้ำเจ้า
พระยาในขณะนั้น
ป้อมป้องปัจจามิตรเป็นป้อมขนาดใหญ่ที่สุดจากจำนวนป้อมทั้ง8ที่เรียงรายกัน
อันมีป้อมฝั่งตรงข้ามปากคลองสานคือป้อมปิดปัจจนึกที่ตั้งอยู่บริเวณปากคลอง
ผดุงกรุงเกษมฝั่งพระนคร
ส่วนด้านบนที่เห็นเป็นหมู่เรือนจีนขนาดใหญ่ในแลเงาสีส้มนั้นคืออดีตบ้านของ
พระยาภักดีภัทรากร(เจ้าสัวเกงซัว)นายอากรคนสำคัญช่วงต้นสมัยรัชกาลที่5
ซึ่งต่อมายกหมู่เรือนดังกล่าวเพื่อใช้หนี้หลวง
ล้นเกล้ารัชกาลที่5ทรงพระราชทานหมู่เรือนจีนดังกล่าวเป็นสถานที่แรกตั้งโรง
พยาบาลคนเสียจริตก่อนที่จะย้ายมายังที่ตั้งในปัจจุบัน
ซึ่งก็คือโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา
และสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยาตามลำดับ
ส่วนคลองที่เห็นอยู่ด้านล่างสุดนั้นก็คือคลองสาน และทางด้านขวาของภาพก็คือแม่น้ำเจ้าพระยา
ปัจจุบันตัวอาคารที่เคยเป็นหมู่เรือนจีนของพระยาภักดีภัทรากรดังกล่าวไม่ ปรากฎร่องรอยใดๆหลงเหลืออยู่ แปรสภาพเป็นที่ตั้งของอาคารที่พักข้าราชการตำรวจของสถานีตำรวจสมเด็จเจ้า พระยา และปากคลองสาน
ส่วนตัวป้อมป้องปัจจามิตรนั้น เนื่องจากเป็นป้อมขนาดใหญ่จึงถูกรื้อทิ้งเสียเป็นส่วนมากเพื่อตัดถนนลาดหญ้า สร้างอาคารของกรมเจ้าท่า และสร้างอาคารสำนักงานเขตคลองสาน ส่วนที่ปรากฎในปัจจุบันด้านหลังสำนักงานเขตคลองสานนั้นน่าจะเพียง1ใน8ส่วน ของป้อมเดิมที่เคยปรากฎเท่านั้น
ขอขอบคุณ ภาพประกอบจากหนังสือ120ปีสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา
ส่วนคลองที่เห็นอยู่ด้านล่างสุดนั้นก็คือคลองสาน และทางด้านขวาของภาพก็คือแม่น้ำเจ้าพระยา
ปัจจุบันตัวอาคารที่เคยเป็นหมู่เรือนจีนของพระยาภักดีภัทรากรดังกล่าวไม่ ปรากฎร่องรอยใดๆหลงเหลืออยู่ แปรสภาพเป็นที่ตั้งของอาคารที่พักข้าราชการตำรวจของสถานีตำรวจสมเด็จเจ้า พระยา และปากคลองสาน
ส่วนตัวป้อมป้องปัจจามิตรนั้น เนื่องจากเป็นป้อมขนาดใหญ่จึงถูกรื้อทิ้งเสียเป็นส่วนมากเพื่อตัดถนนลาดหญ้า สร้างอาคารของกรมเจ้าท่า และสร้างอาคารสำนักงานเขตคลองสาน ส่วนที่ปรากฎในปัจจุบันด้านหลังสำนักงานเขตคลองสานนั้นน่าจะเพียง1ใน8ส่วน ของป้อมเดิมที่เคยปรากฎเท่านั้น
ขอขอบคุณ ภาพประกอบจากหนังสือ120ปีสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา
Asian Studies เอเชียศึกษา
** กว่าจะเป็นกรุงศรีอยุธยา **
กรุงศรีอยุธยามีพัฒนาการมาจากบ้านเล็กเมืองน้อยบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำในภาค กลางนับตั้งแต่ยุคต้นประวัติศาสตร์ราวพุทธศตวรรษที่ 12 (หลัง พ.ศ. 1100) หรือกล่าวอย่างกว้าง ๆ ว่าตั้งแต่ ยุค “ทวารวดี” ลงมา
ศูนย์กลางของกรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นชุมทางแม่น้ำหลายสาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อย แม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำป่าสัก ซึ่งล้วนเป็นเส้นทางคมนาคมติดต่อกับบ้านเมืองภายใน ทั้งทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทางเหนือ และทางอีสาน
ลำน้ำเหล่านี้ไหลมารวมกับลำน้ำเจ้าพระยา บริเวณที่ตั้งพระนครศรีอยุธยา แล้วกลายเป็นแม่น้ำใหญ่ไหลลงไปออกอ่าวไทย จึงเป็นเส้นทางน้ำใหญ่ที่เรือสินค้าต่างประเทศแล่นเข้าถึงพระนครศรีอยุธยา ได้
เหตุนี้กรุงศรีอยุธยาจึงตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นเมืองท่าสำคัญ มีเส้นทางคมนาคมติดต่อค้าขายได้ทั้งภายในและภายนอก ฉะนั้นจึงมีสภาพเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ได้ดีกว่าบรรดาเมืองอื่น ๆ ในขณะนั้น
โดยเฉพาะวัดพนัญเชิงเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่แบบอู่ทอง ที่พงศาวดารระบุว่าสร้างขึ้นก่อนการสถาปนา พระนครศรีอยุธยา (ใหม่) ถึง 26 ปี แสดงว่าบริเวณนี้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นนครใหญ่มาช้านานแล้ว ก่อนสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 จะเสด็จขึ้นครองราชย์
และยังมีหลักฐานด้านกฎหมายอีกหลายลักษณะที่ตราขึ้นใช้ก่อนสมัยสมเด็จพระรามาธิบดี ที่ 1 คือ
กฎหมายลักษณะกู้หนี้ ตราขึ้นก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา 2 ปี
กฎหมายลักษณะทาส ตราขึ้นก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา 2 ปี
กฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ ตราขึ้นก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา 7 ปี
กฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จตอนท้าย นักปราชญ์หลายท่านได้ตรวจสอบศักราช พร้อมทั้งตรวจสอบสำนวนโวหารและร่องรอยอื่น ๆ แล้ว ยืนยัน ตรงกันว่า ตราขึ้นก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่น้อยกว่า 115 ปี
อโยธยาศรีรามเทพนคร
บริเวณอยุธยา เดิมทีเดียวเป็นชุมชนชาวประมงขนาดเล็ก ๆ ตรงน้ำวนบางกะจะถึงปากน้ำแม่เบี้ย เป็นที่แวะพักแรมของพ่อค้าสำเภาและสลุบกำปั่น ขึ้นล่องระหว่างรัฐทวารวดีที่ลพบุรีกับทะเลสมุทรทางอ่าวไทย นานเข้าก็หนาแน่นแล้วเติบโตขึ้น เป็นชุมชนสถานีการค้าบนเส้นทางการค้าหลายทิศทาง
ศูนย์กลางแห่งใหม่ขนานนามว่า “อโยธยาศรีรามเทพนคร” หมายถึงพระนครแห่งชัยชนะของพระราม ความหมายนี้สืบเนื่องจากทวารวดีที่เป็นเมืองต้นวงศ์พระนารายณ์ ผู้ทรงอวตารเป็นพระรามมาปราบยุคเข็ญตามคัมภีร์รามายณะของชมพูทวีป (อินเดีย)
เมื่อขนานนามเมืองใหม่แล้ว ก็เรียกเมืองเดิม ตามชื่อดั้งเดิมว่า “ละโว้” (น่าเชื่อว่าเป็นคำพื้นเมือง หมายถึง ภูเขา)
บริเวณศูนย์กลางของรัฐอโยธยา (หรือ อโยธยาศรีรามเทพนคร) อยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะเมืองอยุธยาปัจจุบัน โดยมีหลักหมายสำคัญคือ วัดพนัญเชิง, วัดใหญ่ชัยมงคล, ฯลฯ ที่มีสืบมาแต่ครั้งนั้น
จาก สุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระเจ้าอู่ทอง สร้างอยุธยา มาจากไหน ?, กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2557, หน้า 20-24.
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
แอดมินลูกทุ่งคนยาก
กรุงศรีอยุธยามีพัฒนาการมาจากบ้านเล็กเมืองน้อยบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำในภาค กลางนับตั้งแต่ยุคต้นประวัติศาสตร์ราวพุทธศตวรรษที่ 12 (หลัง พ.ศ. 1100) หรือกล่าวอย่างกว้าง ๆ ว่าตั้งแต่ ยุค “ทวารวดี” ลงมา
ศูนย์กลางของกรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นชุมทางแม่น้ำหลายสาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อย แม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำป่าสัก ซึ่งล้วนเป็นเส้นทางคมนาคมติดต่อกับบ้านเมืองภายใน ทั้งทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทางเหนือ และทางอีสาน
ลำน้ำเหล่านี้ไหลมารวมกับลำน้ำเจ้าพระยา บริเวณที่ตั้งพระนครศรีอยุธยา แล้วกลายเป็นแม่น้ำใหญ่ไหลลงไปออกอ่าวไทย จึงเป็นเส้นทางน้ำใหญ่ที่เรือสินค้าต่างประเทศแล่นเข้าถึงพระนครศรีอยุธยา ได้
เหตุนี้กรุงศรีอยุธยาจึงตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นเมืองท่าสำคัญ มีเส้นทางคมนาคมติดต่อค้าขายได้ทั้งภายในและภายนอก ฉะนั้นจึงมีสภาพเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ได้ดีกว่าบรรดาเมืองอื่น ๆ ในขณะนั้น
โดยเฉพาะวัดพนัญเชิงเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่แบบอู่ทอง ที่พงศาวดารระบุว่าสร้างขึ้นก่อนการสถาปนา พระนครศรีอยุธยา (ใหม่) ถึง 26 ปี แสดงว่าบริเวณนี้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นนครใหญ่มาช้านานแล้ว ก่อนสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 จะเสด็จขึ้นครองราชย์
และยังมีหลักฐานด้านกฎหมายอีกหลายลักษณะที่ตราขึ้นใช้ก่อนสมัยสมเด็จพระรามาธิบดี ที่ 1 คือ
กฎหมายลักษณะกู้หนี้ ตราขึ้นก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา 2 ปี
กฎหมายลักษณะทาส ตราขึ้นก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา 2 ปี
กฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ ตราขึ้นก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา 7 ปี
กฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จตอนท้าย นักปราชญ์หลายท่านได้ตรวจสอบศักราช พร้อมทั้งตรวจสอบสำนวนโวหารและร่องรอยอื่น ๆ แล้ว ยืนยัน ตรงกันว่า ตราขึ้นก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่น้อยกว่า 115 ปี
อโยธยาศรีรามเทพนคร
บริเวณอยุธยา เดิมทีเดียวเป็นชุมชนชาวประมงขนาดเล็ก ๆ ตรงน้ำวนบางกะจะถึงปากน้ำแม่เบี้ย เป็นที่แวะพักแรมของพ่อค้าสำเภาและสลุบกำปั่น ขึ้นล่องระหว่างรัฐทวารวดีที่ลพบุรีกับทะเลสมุทรทางอ่าวไทย นานเข้าก็หนาแน่นแล้วเติบโตขึ้น เป็นชุมชนสถานีการค้าบนเส้นทางการค้าหลายทิศทาง
ศูนย์กลางแห่งใหม่ขนานนามว่า “อโยธยาศรีรามเทพนคร” หมายถึงพระนครแห่งชัยชนะของพระราม ความหมายนี้สืบเนื่องจากทวารวดีที่เป็นเมืองต้นวงศ์พระนารายณ์ ผู้ทรงอวตารเป็นพระรามมาปราบยุคเข็ญตามคัมภีร์รามายณะของชมพูทวีป (อินเดีย)
เมื่อขนานนามเมืองใหม่แล้ว ก็เรียกเมืองเดิม ตามชื่อดั้งเดิมว่า “ละโว้” (น่าเชื่อว่าเป็นคำพื้นเมือง หมายถึง ภูเขา)
บริเวณศูนย์กลางของรัฐอโยธยา (หรือ อโยธยาศรีรามเทพนคร) อยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะเมืองอยุธยาปัจจุบัน โดยมีหลักหมายสำคัญคือ วัดพนัญเชิง, วัดใหญ่ชัยมงคล, ฯลฯ ที่มีสืบมาแต่ครั้งนั้น
จาก สุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระเจ้าอู่ทอง สร้างอยุธยา มาจากไหน ?, กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2557, หน้า 20-24.
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
แอดมินลูกทุ่งคนยาก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)